วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"Rajamangala National Stadium" สนามราชมังคลากีฬาสถาน

"Rajamangala Nationl Stadium"
ที่ตั้ง : สนามกีฬาหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
เปิด ปี : 2541
เจ้าของ : การกีฬาแห่งประเทศไทย (Sport of Thailand.)
พื้นสนามเป็นหญ้า
สถาปนิกออกแบบสนาม : คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (University of Chulalongkorn)
ความจุของสนาม : 49,749
ประวัติการใช้งาน :
ฟุตบอลทีมชาติไทย
เอเชียนเกมส์ 1998
2004 FIFA U-19 Women's World Cup
กีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อน 2007
2000 Thailand National Games
และงานพิเศษต่างๆ อาทิ คอนเสิร์ต ฯลฯ

"Buriram PEA"


สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์-การไฟฟ้าฯ
เป็นสโมสรใหม่ที่เปลี่ยนแปลงมาจากสโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2513 โดยดร.วีระ ปิตรชาติ มีเป้าหมายเพื่อให้พนักงานได้ออกกำลังกายและสร้างความสามัคคีร่วมกันในหมู่คณะ

ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 สโมสรได้เข้าร่วมการแข่งขันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ประเภท ง. โดยลงเล่น3ฤดูกาลก็ได้เลื่อนขึ้นไปเล่นในถ้วย ค. และลงเล่นอยู่ 2 ฤดูกาลก็ได้เลื่อนขึ้นไปเล่นถ้วย ข. และอีก2 ฤดูกาลสโมสรก็สามารถเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในดิวิชั่น 1ได้สำเร็จ

ปี 2547 ได้เลื่อนขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุด เมื่อได้รองแชมป์ดิวิชั่น และได้เล่นในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2548 โดยฤดูกาลแรกในลีกสูงสุดสโมสรสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อได้ตำแหน่งรองแชมป์ และศุภกิจ จินะใจ กองหน้าของทีมคว้าตำแหน่งดาวซัลโวร่วมกับศรายุทธ ชัยคำดี ดาวยิงของทีมการท่าเรือ ที่จำนวน10ประตู และได้สิทธิ์เล่นเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในปี 2549

ปี 2551 สโมสรสามารถคว้าแชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของประพล พงษ์พานิช และได้สิทธิเข้าร่วมแข่งขันเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือก ปี 2552 แต่ก็ตกรอบคัดเลือกเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีกทำให้ไม่สามารถเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มได้ และมีผลงานในลีกไม่ดีนัก สโมสรจึงได้เปลี่ยนตัวกุนซือในเดือนพฤษภาคม ปี 2552 จากประพล พงษ์พานิช เป็น ทองสุข สัมปหังสิต อดีตกุนซือทีมชาติไทยชุดแชมป์ซีเกมส์ ที่นครราชสีมา

ภายหลังฤดูกาล 2552 ซึ่งทีมมีผลงานจบในอันดับที่ 9 ทางสโมสรได้ตกลงที่จะย้ายสนามแข่งจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น บุรีรัมย์-การไฟฟ้าฯ นอกจากนั้นยังได้ดึงตัว พงษ์พันธ์ วงศ์สุวรรณ กุนซือของทีโอที มาทำหน้าที่ผู้อำนวยการสโมสร และธนเดช ฟูประเสริฐ เป็นหัวหน้าสต๊าฟโค้ช

แผนการพัฒนาสนาม....


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.burirampea.com
Tony Report : รายงาน

"Andaman eagle" KrabiFC


ชื่อนามฉายา : คือสโมสรฟุตบอลกระบี่
ฉายา : อินทรีย์อันดามัน
ก่อตั้งเมื่อปี : 2552
บ้านที่ใช้ทำการแข่งขัน : สนามกีฬากลางจังหวัดกระบี่
ความจุ : 6,000 ที่ั่นั่ง
ลีกที่ทำการแข่งขันในขณะนี้ : ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 ภาคใต้

ทีม "อินทรีอันดามัน" กระบี่ เอฟซี ซึ่งฤดูกาล 2009 จบด้วยอันดับที่ 5 ของตารางกลุ่มภาคใต้ ฤดูกาลใหม่ พวกเขามีการปรับทัพกันไม่น้อยไปกว่าเพื่อนร่วมลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมของสนามแข่งขัน ทีมกระบี่ เอฟซี ที่มี สมเกียรติ กิตติธรกุล เป็นผู้จัดการทีม ชัยรัตน์ สิทธิกุล เป็นหัวหน้าสตาฟฟ์โค้ช และ ณัฐวัตร รักษากิจ เป็นผู้ช่วย พยายามปรับปรุงเตรียมความพร้อมอย่างดีที่สุด

สำหรับทีมอินทรีย์อันดามัน ใช้สนามกีฬากลางจังหวัดกระบี่เป็นสนามเหย้า ตั้งอยู่บนถนนสายหลัก หมายเลข 4 (เพชรเกษม) โดยมีบรรยากาศอันสวยงามที่อ้อมล้อมด้วยธรรมชาติของหุบเขา...ห่างออกไปจากตัวเมืองประมาณ 6 กิโลเมตร...แต่ก็ยังมีรถประจำทางวิ่งผ่านตลอด

บรรยากาศและสภาพความพร้อมของสนามกีฬากลางกระบี่ พร้อมแล้วกับการรองรับการแข่งขันลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 กลุ่มภาคใต้ (สนามแห่งนี้เคยได้รับเกียรติให้จัดการแข่งขันกีฬานักเรียน-นักศึกษาแห่งประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่ากระบี่เกมส์มาแล้วหนึ่ง ครั้ง)

ความพร้อมด้านอื่นๆ..ของสนาม เรื่องไฟสนามนั้นไม่ต้องห่วงอยู่แล้วคาบบบบ



สุดท้ายนี้ทีมสโมสรฟุตบอลในเมืองไทย ของแต่ละระดับการแข่งขันจะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยแรงกายและแรงใจจากพี่น้องในชาติทุกคน....ร่วมกันสร้างทีมฟุตบอลของชาติให้แข็งแกร่งกับรากฐานที่มั่นคงอย่างลีกของไทยกันเถอะครับ

Tony Report : รายงาน

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"เมืองทองหนอกจอกยูไนเต็ด" ประวัติอันน่าสนใจ

ประวัติสโมสร

ยุคแรก (โรงเรียนหนองจอกพิทยานุสรณ์)
บุคคลที่เป็นผุ้ก่อตั้งสโมสรฟุตบอลเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ขึ้นมาไม่ใช่ใครเป็นนายวรวีร์ มะกูดี ซึ่งปัจจุบันเป็นนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นั่นเองโดยเป็นการก่อตั้งหลังจากทีมโรงเรียนศาสนวิทยา หรือทีมบีอีซี เทโรศาสน ในปัจจุบันแค่เพียง 3 ปีเท่านั้น ชื่อแรกที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสมาคมฟุตบอลฯหาใช่เป็นเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด เช่นทุกวันนี้ไม่ แต่เป็นชื่อทีมโรงเรียนหนองจอกพิทยานุสรณ์ ย่างก้าวแรกก่อนจะมาถึงจุดสูงสุด ณ วันนี้ได้นั้น ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ เริ่มไต่เต้าจากถ้วยเล็กสุดอย่างถ้วยพระราชทานประเภท ง มาก่อน กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปพร้อมกับการผ่องถ่ายเปลี่ยนมือคนที่เข้ามาสร้างทีมยุคสู่ยุคหลายต่อหลายคนเคยมีโอกาสได้เข้ามาทำทีม ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ กระทั่งในการแข่งขันฟุตบอลลีกดิวิชั่น1 ฤดูกาล 2545-2546 ทีม ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นหนแรกเป็น สโมสรฟุตบอลไข่มุกดำหนองจอก โดยได้นายหัว วีระ มุสิกพงศ์ อดีตนักการเมืองดังเข้ามาเทกโอเวอร์ทำทีมแต่แค่ฤดูกาลเดียวเมื่อไม่ประสบความสำเร็จนายหัว วีระ ก็เลิกลาไปโดยที่ทีมยังคงอยู่ในลีกดิวิชั่น1 ต่อไป

เข้าสู่ระบบลีก..อย่างเต็มตัว...พร้อมการเปลี่ยนชื่อสโมสรอีกครั้ง (เส้นทางที่จุดประกายความเป็นดาวอย่างแท้จริง)
ฤดูกาลต่อมาของลีกดิวิชั่น1 2546-2547 ทีมเปลี่ยนชื่ออีกครั้งตามกลุ่มที่เข้าเทกโอเวอร์รับทำทีมต่อก้คือ สโมสรฟุตบอล หลักทรัพย์โกล์เบล็ค หนองจอก โดยมีโค้ชหลอ สมศักดิ์ เซ็นเชาวนิช เป็นกุนซือแต่ปีนั้นทีมทำผลงานได้ย่ำแย่จนสุดท้ายก็ต้องตกชั้นไปเล่นในถ้วยพระราชทานประเถท ข ในฤดูกาล 2547-2548 โดยกลับไปใช้ชื่อเดิม ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จุดเริ่มต้นจริงๆก่อนจะมายิ่งใหญ่เช่นทุกวันนี้นั้นน่าจะเป็นเพราะสมาคมฟุตบอลฯต้องการยกระดับลีกการแข่งขันในประเทศของไทยให้เป็นสากลมากขึ้นจึงก่อตั้งลีกดิวิชั่น2 ขึ้นมาโดยนำทีมจากถ้วยพระราชทาน ข และ ค มาผสมรวมกันเพื่อแข่งขันในลีกนี้ในฤดูกาล 2549-2550 ซึ่งแน่นอนว่า ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ได้สิทธิ์เข้าแข่งขันด้วยและปีนั้นกับลีกดิวิชั่น2 ของไทยครั้งแรกชื่อทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ก็ปรากฏขึ้นมาโดยผู้สนับสนุนทีมคือ นายระวิ โหลทอง ที่รับตำแหน่งประธานสโมสรด้วยตนเอง ใครก็รู้ดีว่านายใหญ่ของค่ายสยามสปอร์ต ผู้นี้ที่เป็นเจ้าพ่อสื่อกีฬาในปัจจุบันนั้นพิสมัยเกมลูกหนังขนาดไหนด้วยใจรักจึงอยากจะมีทีมฟุตบอลของตัวเองขึ้นมาสักทีมเพื่อหวังทำให้ประสบความสำเร็จเหมือนที่เคยทำหนังสือพิมพ์กีฬาให้โด่งดังมาแล้ว

ยุคเริ่มต้นแห่งความสำเร็จ
ปีนั้นทีมใช้บริการกุนซืออย่าง นพพร เอกศาสตรา คุมทีมโดยมี มร.โรเบิร์ต โปรคูเรอร์ เป็นผจก.ทีมและสุดท้ายปีนั้นชื่อทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ก็ได้รับการจารึกว่าเป็นเจ้าของแชมป์ลีกดิวิชั่น2 ครั้งแรกพร้อมได้สิทธิ์ก้าวไปเล่นลีดดิวิชั่น1 ในปี พ.ศ. 2551 ได้สำเร็จ ความสำเร็จจากแชมป์ลีกดิวิชั่น2 จุดประกายฝันให้ทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด เดินหน้าต่อในลีกดิวิชั่น1 ที่เขี้ยวและหินกว่าลีกดิวิชั่น2 เยอะแต่สุดท้ายทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ก็ทำได้เมื่อกุนซืออย่าง โค้ชหมี สุรศักดิ์ ตังสุรัตน์ สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น1 ประจำปี 2551 มาครอบครองได้สำเร็จ พร้อมตั๋วขึ้นชั้นมาเล่นไทยพรีเมียรืลีก2009 หรือไทยลีก ครั้งที่ 13 ได้สำเร็จ ไทยพรีเมียรืลีก2009 อันเป็นครั้งแรกของทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด หรือทีม ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ เดิม ได้ขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นครั้งแรกนับจากก่อตั้งสโมสรมา 20 ปีนั้น สุดท้ายประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังไทยก็ต้องจารึกอีกครั้งเป็นตำนานบทใหม่ว่าเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด นั้นเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกของไทยไล่จากลีกดิวิชั่น2,ดิวิชั่น1 จนถึงลีกสูงสุดของไทยอย่าง ไทยพรีเมียร์ลีก แบบใช้เวลา 3ปี ถ้วยต่อถ้วยได้สำเร็จเป็นทีมแรกที่ยังไม่เคยมีสโมสรไหนทำได้มาก่อนนับแต่ที่ลีกลูกหนังไทยปรับโฉมมาเป็นลีกดิวิชั่น2,1 และไทยพรีเมียร์ลีก จากเดิมที่เป็นถ้วยง,ค,ข และลีกดิวิชั่น1 ก่อนถึงไทยลีกเท่านั้น


สนามเหย้า
สโมสรฟุตบอลเมืองทอง ยูไนเต็ด ใช้สนามยามาฮ่า สเตเดี้ยมเป็นสนามเหย้า โดยสนามแห่งนี้อยู่หลังอาคารชาเลนเจอร์ เป็นพื้นที่โล่งใกล้กับทางขึ้นลงทางด่วนพิเศษ ไปได้ทุกที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ติดกับธันเดอร์โดมที่ใช้จัดคอนเสิร์ตในเรียลลิตี้ โชว์ชื่อดัง “เอเอฟ” หรืออะคาเดมี่ แฟนเทเชีย

สำหรับสนามยามาฮ่า สเตเดี้ยม นั้นปัจจุบันมีความจุโดยประมาณ 15,000 ที่นั่ง และเมื่อต่อเติมและปรับปรุงเสร็จจะมีความจุรวมเพิ่มเป็น 20,000 ที่นั่ง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกทั้ง 2 ฝั่งอัฒจรรย์, ห้อง VIP รอบสนาม, ห้องสื่อมวลชน, ร้านอาหาร, พลาซ่า, จูเนียร์ช็อป, พิพิธภัณฑ์สโมสร ฯลฯ นอกจากนี้สโมสร ยังเปิดโอกาสให้สโมสรอื่นๆ ทั้งในระดับไทยลีกและดิวิชั่นต่างๆ ได้เข้ามาศึกษาระบบการจัดการของสโมสรเพื่อพัฒนาลีกอาชีพของไทยให้ก้าวไปสู่ ความเป็นสากลต่อไป

ทีมจาก : สยามประเทศก็มีความเจริญได้คาบบ
Tony Report : รายงาน

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"Yamaha stadium" บ้านทีมเมืองทองฯ

By tony report

tonyreport.blogspot.com

Yamaha Stadium หรือว่า สนามธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เป็นสนามรังเหย้าของทีมชื่อดัง "เมืองทองยูไนเต็ด" ยอดทีมจากประเทศไทย โดยผลงานอันสุดยอดด้วย การทำทีม 3 ปีได้แชมป์มาครองให้ชื่นใจผู้บริหารถึง3 แชมป์...ได้ฟังแล้วก็ร้อนๆ หนาวๆ สำหรับทีมชั้นนำในเอเชียนะครับ...ไม่เร่งพัฒนาต้องโดน "กิเลนผยอง" จากแดนสยามเมืองยิ้มกัดกัดคอ กัดลำตัวย่ำแย่แน่...

ในลีกของเมืองประจำฤดูกาล 2009 จบด้วยอันดับ 1 ได้สิทธิ์ไป เอเอฟซี แชมเปี้ยนลีก แต่ไม่ผ่านรอบคัดเลือกต้องร่วงมาเล่น ในถ้วยรองลงมา นั่นก็คือ "เอเอฟซีคัพ"

เมืองทองฯ และสิงห์เจ้าท่าอันดับโลกพุ่งกระฉูด

ผลงานดีต่อเนื่อง ทีม "กิเลนผยอง" เมืองทอง ฯ ยูไนเต็ด ควง "สิงห์เจ้าท่า" การท่าเรือไทย เอฟซี ขึ้นมาติดใน 350 อันดับแรกของโลก เป็นครั้งแรกของสโมสร จากการจัดของสหพันธ์ประวัติศาสตร์ และสถิติฟุตบอลนานาชาติ "IFFHS" โดยทีม เมืองทองฯ อยู่ที่ 227 ของโลก เป็นที่ 24 ของเอเชีย ส่วน การท่าเรือฯ กระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 235 ของโลก และที่ 26 ของเอเชีย

การจัดอันดับสโมสรโลกครั้ง ล่าสุดของสหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลนานาชาติ (IFFHS) ที่คิดคะแนนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2010 ได้มีการประกาศ 350 อันดับแรก ซึ่งสองสโมสรจากประเทศไทย "กิเลนผยอง" เมืองทองฯ ยูไนเต็ด และ "สิงห์เจ้าท่า" การท่าเรือไทย เอฟซี อันดับโลกยังขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ในการจัดอันดับครั้งก่อน เมื่อเดือนเมษายนทั้งสองทีมนี้ ต่างก็เข้ามาอยู่ 350 อันดับแรก เป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร

ล่าสุด เมืองทอง ยูไนเต็ด อยู่ที่ 227 ของโลก ขยับจากอันดับ 439 และ 245 จากการจัดอันดับสองครั้งก่อนหน้านี้ เป็นอันดับที่ 24 ของเอเชีย มี 81.5 คะแนน ส่วน การท่าเรือไทย เอฟซี กระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 235 จาก 311 เป็นอันดับที่ 26 ของเอเชีย มี 80.5 คะแนน นับเป็นอันดับที่ดีที่สุด ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรของทั้งสองทีม.....

Tony Report : รายงาน

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

23 ขุนพลของอังกฤษ ที่จะลุยศึก "FIFA World Cup 2010"

Fabio Capello ( ฟาบิโอ คาเปลโล่ ) : ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ประกาศรายชื่อ นักเตะ 23 คนที่จะลุยศึกฟุตบอลโลก 2010

ผู้รักษาประตู : เดวิด เจมส์ (พอร์ทสมัธ), โรเบิร์ต กรีน (เวสต์แฮม ยูไนเต็ด), โจ ฮาร์ท (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)

กองหลัง : แอชลี่ย์ โคล (เชลซี), จอห์น เทอร์รี่ (เชลซี), ริโอ เฟอร์ดินานด์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด), เกล็น จอห์นสัน (ลิเวอร์พูล), เล็ดลี่ย์ คิง (ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์), เจมี่ คาร์ราเกอร์ (ลิเวอร์พูล), แมทธิว อัพสัน (เวสต์แฮม ยูไนเต็ด),สตีเฟ่น วอร์น็อค (แอสตัน วิลล่า)

กองกลาง : สตีเว่น เจอร์ราร์ด (ลิเวอร์พูล), แฟร้งค์ แลมพาร์ด (เชลซี), ไมเคิ่ล คาร์ริค (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด), เจมส์ มิลเนอร์ (แอสตัน วิลล่า), แกเร็ธ แบร์รี่ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้), โจโคล (เชลซี) อารอน เลนน่อน (ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์), ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)

กองหน้า : เวย์น รูนี่ย์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด), ปีเตอร์ เคร้าช์ (ท็อตแน่มฮ็อทสเปอร์), เอมิล เฮสกี้ (แอสตัน วิลล่า), เจอร์เมน เดโฟ (ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์)

Tony Report : รายงาน

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553