ประวัติสโมสร
ยุคแรก (โรงเรียนหนองจอกพิทยานุสรณ์)
บุคคลที่เป็นผุ้ก่อตั้งสโมสรฟุตบอลเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ขึ้นมาไม่ใช่ใครเป็นนายวรวีร์ มะกูดี ซึ่งปัจจุบันเป็นนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นั่นเองโดยเป็นการก่อตั้งหลังจากทีมโรงเรียนศาสนวิทยา หรือทีมบีอีซี เทโรศาสน ในปัจจุบันแค่เพียง 3 ปีเท่านั้น ชื่อแรกที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสมาคมฟุตบอลฯหาใช่เป็นเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด เช่นทุกวันนี้ไม่ แต่เป็นชื่อทีมโรงเรียนหนองจอกพิทยานุสรณ์ ย่างก้าวแรกก่อนจะมาถึงจุดสูงสุด ณ วันนี้ได้นั้น ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ เริ่มไต่เต้าจากถ้วยเล็กสุดอย่างถ้วยพระราชทานประเภท ง มาก่อน กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปพร้อมกับการผ่องถ่ายเปลี่ยนมือคนที่เข้ามาสร้างทีมยุคสู่ยุคหลายต่อหลายคนเคยมีโอกาสได้เข้ามาทำทีม ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ กระทั่งในการแข่งขันฟุตบอลลีกดิวิชั่น1 ฤดูกาล 2545-2546 ทีม ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นหนแรกเป็น สโมสรฟุตบอลไข่มุกดำหนองจอก โดยได้นายหัว วีระ มุสิกพงศ์ อดีตนักการเมืองดังเข้ามาเทกโอเวอร์ทำทีมแต่แค่ฤดูกาลเดียวเมื่อไม่ประสบความสำเร็จนายหัว วีระ ก็เลิกลาไปโดยที่ทีมยังคงอยู่ในลีกดิวิชั่น1 ต่อไป
เข้าสู่ระบบลีก..อย่างเต็มตัว...พร้อมการเปลี่ยนชื่อสโมสรอีกครั้ง (เส้นทางที่จุดประกายความเป็นดาวอย่างแท้จริง)
ฤดูกาลต่อมาของลีกดิวิชั่น1 2546-2547 ทีมเปลี่ยนชื่ออีกครั้งตามกลุ่มที่เข้าเทกโอเวอร์รับทำทีมต่อก้คือ สโมสรฟุตบอล หลักทรัพย์โกล์เบล็ค หนองจอก โดยมีโค้ชหลอ สมศักดิ์ เซ็นเชาวนิช เป็นกุนซือแต่ปีนั้นทีมทำผลงานได้ย่ำแย่จนสุดท้ายก็ต้องตกชั้นไปเล่นในถ้วยพระราชทานประเถท ข ในฤดูกาล 2547-2548 โดยกลับไปใช้ชื่อเดิม ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จุดเริ่มต้นจริงๆก่อนจะมายิ่งใหญ่เช่นทุกวันนี้นั้นน่าจะเป็นเพราะสมาคมฟุตบอลฯต้องการยกระดับลีกการแข่งขันในประเทศของไทยให้เป็นสากลมากขึ้นจึงก่อตั้งลีกดิวิชั่น2 ขึ้นมาโดยนำทีมจากถ้วยพระราชทาน ข และ ค มาผสมรวมกันเพื่อแข่งขันในลีกนี้ในฤดูกาล 2549-2550 ซึ่งแน่นอนว่า ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ได้สิทธิ์เข้าแข่งขันด้วยและปีนั้นกับลีกดิวิชั่น2 ของไทยครั้งแรกชื่อทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ก็ปรากฏขึ้นมาโดยผู้สนับสนุนทีมคือ นายระวิ โหลทอง ที่รับตำแหน่งประธานสโมสรด้วยตนเอง ใครก็รู้ดีว่านายใหญ่ของค่ายสยามสปอร์ต ผู้นี้ที่เป็นเจ้าพ่อสื่อกีฬาในปัจจุบันนั้นพิสมัยเกมลูกหนังขนาดไหนด้วยใจรักจึงอยากจะมีทีมฟุตบอลของตัวเองขึ้นมาสักทีมเพื่อหวังทำให้ประสบความสำเร็จเหมือนที่เคยทำหนังสือพิมพ์กีฬาให้โด่งดังมาแล้ว
ยุคเริ่มต้นแห่งความสำเร็จ
ปีนั้นทีมใช้บริการกุนซืออย่าง นพพร เอกศาสตรา คุมทีมโดยมี มร.โรเบิร์ต โปรคูเรอร์ เป็นผจก.ทีมและสุดท้ายปีนั้นชื่อทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ก็ได้รับการจารึกว่าเป็นเจ้าของแชมป์ลีกดิวิชั่น2 ครั้งแรกพร้อมได้สิทธิ์ก้าวไปเล่นลีดดิวิชั่น1 ในปี พ.ศ. 2551 ได้สำเร็จ ความสำเร็จจากแชมป์ลีกดิวิชั่น2 จุดประกายฝันให้ทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด เดินหน้าต่อในลีกดิวิชั่น1 ที่เขี้ยวและหินกว่าลีกดิวิชั่น2 เยอะแต่สุดท้ายทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ก็ทำได้เมื่อกุนซืออย่าง โค้ชหมี สุรศักดิ์ ตังสุรัตน์ สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น1 ประจำปี 2551 มาครอบครองได้สำเร็จ พร้อมตั๋วขึ้นชั้นมาเล่นไทยพรีเมียรืลีก2009 หรือไทยลีก ครั้งที่ 13 ได้สำเร็จ ไทยพรีเมียรืลีก2009 อันเป็นครั้งแรกของทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด หรือทีม ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ เดิม ได้ขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นครั้งแรกนับจากก่อตั้งสโมสรมา 20 ปีนั้น สุดท้ายประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังไทยก็ต้องจารึกอีกครั้งเป็นตำนานบทใหม่ว่าเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด นั้นเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกของไทยไล่จากลีกดิวิชั่น2,ดิวิชั่น1 จนถึงลีกสูงสุดของไทยอย่าง ไทยพรีเมียร์ลีก แบบใช้เวลา 3ปี ถ้วยต่อถ้วยได้สำเร็จเป็นทีมแรกที่ยังไม่เคยมีสโมสรไหนทำได้มาก่อนนับแต่ที่ลีกลูกหนังไทยปรับโฉมมาเป็นลีกดิวิชั่น2,1 และไทยพรีเมียร์ลีก จากเดิมที่เป็นถ้วยง,ค,ข และลีกดิวิชั่น1 ก่อนถึงไทยลีกเท่านั้น
สนามเหย้า
สโมสรฟุตบอลเมืองทอง ยูไนเต็ด ใช้สนามยามาฮ่า สเตเดี้ยมเป็นสนามเหย้า โดยสนามแห่งนี้อยู่หลังอาคารชาเลนเจอร์ เป็นพื้นที่โล่งใกล้กับทางขึ้นลงทางด่วนพิเศษ ไปได้ทุกที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ติดกับธันเดอร์โดมที่ใช้จัดคอนเสิร์ตในเรียลลิตี้ โชว์ชื่อดัง “เอเอฟ” หรืออะคาเดมี่ แฟนเทเชีย
สำหรับสนามยามาฮ่า สเตเดี้ยม นั้นปัจจุบันมีความจุโดยประมาณ 15,000 ที่นั่ง และเมื่อต่อเติมและปรับปรุงเสร็จจะมีความจุรวมเพิ่มเป็น 20,000 ที่นั่ง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกทั้ง 2 ฝั่งอัฒจรรย์, ห้อง VIP รอบสนาม, ห้องสื่อมวลชน, ร้านอาหาร, พลาซ่า, จูเนียร์ช็อป, พิพิธภัณฑ์สโมสร ฯลฯ นอกจากนี้สโมสร ยังเปิดโอกาสให้สโมสรอื่นๆ ทั้งในระดับไทยลีกและดิวิชั่นต่างๆ ได้เข้ามาศึกษาระบบการจัดการของสโมสรเพื่อพัฒนาลีกอาชีพของไทยให้ก้าวไปสู่ ความเป็นสากลต่อไป
ทีมจาก : สยามประเทศก็มีความเจริญได้คาบบ
Tony Report : รายงาน
ยุคแรก (โรงเรียนหนองจอกพิทยานุสรณ์)
บุคคลที่เป็นผุ้ก่อตั้งสโมสรฟุตบอลเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ขึ้นมาไม่ใช่ใครเป็นนายวรวีร์ มะกูดี ซึ่งปัจจุบันเป็นนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นั่นเองโดยเป็นการก่อตั้งหลังจากทีมโรงเรียนศาสนวิทยา หรือทีมบีอีซี เทโรศาสน ในปัจจุบันแค่เพียง 3 ปีเท่านั้น ชื่อแรกที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสมาคมฟุตบอลฯหาใช่เป็นเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด เช่นทุกวันนี้ไม่ แต่เป็นชื่อทีมโรงเรียนหนองจอกพิทยานุสรณ์ ย่างก้าวแรกก่อนจะมาถึงจุดสูงสุด ณ วันนี้ได้นั้น ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ เริ่มไต่เต้าจากถ้วยเล็กสุดอย่างถ้วยพระราชทานประเภท ง มาก่อน กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปพร้อมกับการผ่องถ่ายเปลี่ยนมือคนที่เข้ามาสร้างทีมยุคสู่ยุคหลายต่อหลายคนเคยมีโอกาสได้เข้ามาทำทีม ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ กระทั่งในการแข่งขันฟุตบอลลีกดิวิชั่น1 ฤดูกาล 2545-2546 ทีม ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นหนแรกเป็น สโมสรฟุตบอลไข่มุกดำหนองจอก โดยได้นายหัว วีระ มุสิกพงศ์ อดีตนักการเมืองดังเข้ามาเทกโอเวอร์ทำทีมแต่แค่ฤดูกาลเดียวเมื่อไม่ประสบความสำเร็จนายหัว วีระ ก็เลิกลาไปโดยที่ทีมยังคงอยู่ในลีกดิวิชั่น1 ต่อไป
เข้าสู่ระบบลีก..อย่างเต็มตัว...พร้อมการเปลี่ยนชื่อสโมสรอีกครั้ง (เส้นทางที่จุดประกายความเป็นดาวอย่างแท้จริง)
ฤดูกาลต่อมาของลีกดิวิชั่น1 2546-2547 ทีมเปลี่ยนชื่ออีกครั้งตามกลุ่มที่เข้าเทกโอเวอร์รับทำทีมต่อก้คือ สโมสรฟุตบอล หลักทรัพย์โกล์เบล็ค หนองจอก โดยมีโค้ชหลอ สมศักดิ์ เซ็นเชาวนิช เป็นกุนซือแต่ปีนั้นทีมทำผลงานได้ย่ำแย่จนสุดท้ายก็ต้องตกชั้นไปเล่นในถ้วยพระราชทานประเถท ข ในฤดูกาล 2547-2548 โดยกลับไปใช้ชื่อเดิม ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จุดเริ่มต้นจริงๆก่อนจะมายิ่งใหญ่เช่นทุกวันนี้นั้นน่าจะเป็นเพราะสมาคมฟุตบอลฯต้องการยกระดับลีกการแข่งขันในประเทศของไทยให้เป็นสากลมากขึ้นจึงก่อตั้งลีกดิวิชั่น2 ขึ้นมาโดยนำทีมจากถ้วยพระราชทาน ข และ ค มาผสมรวมกันเพื่อแข่งขันในลีกนี้ในฤดูกาล 2549-2550 ซึ่งแน่นอนว่า ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ได้สิทธิ์เข้าแข่งขันด้วยและปีนั้นกับลีกดิวิชั่น2 ของไทยครั้งแรกชื่อทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ก็ปรากฏขึ้นมาโดยผู้สนับสนุนทีมคือ นายระวิ โหลทอง ที่รับตำแหน่งประธานสโมสรด้วยตนเอง ใครก็รู้ดีว่านายใหญ่ของค่ายสยามสปอร์ต ผู้นี้ที่เป็นเจ้าพ่อสื่อกีฬาในปัจจุบันนั้นพิสมัยเกมลูกหนังขนาดไหนด้วยใจรักจึงอยากจะมีทีมฟุตบอลของตัวเองขึ้นมาสักทีมเพื่อหวังทำให้ประสบความสำเร็จเหมือนที่เคยทำหนังสือพิมพ์กีฬาให้โด่งดังมาแล้ว
ยุคเริ่มต้นแห่งความสำเร็จ
ปีนั้นทีมใช้บริการกุนซืออย่าง นพพร เอกศาสตรา คุมทีมโดยมี มร.โรเบิร์ต โปรคูเรอร์ เป็นผจก.ทีมและสุดท้ายปีนั้นชื่อทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ก็ได้รับการจารึกว่าเป็นเจ้าของแชมป์ลีกดิวิชั่น2 ครั้งแรกพร้อมได้สิทธิ์ก้าวไปเล่นลีดดิวิชั่น1 ในปี พ.ศ. 2551 ได้สำเร็จ ความสำเร็จจากแชมป์ลีกดิวิชั่น2 จุดประกายฝันให้ทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด เดินหน้าต่อในลีกดิวิชั่น1 ที่เขี้ยวและหินกว่าลีกดิวิชั่น2 เยอะแต่สุดท้ายทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ก็ทำได้เมื่อกุนซืออย่าง โค้ชหมี สุรศักดิ์ ตังสุรัตน์ สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น1 ประจำปี 2551 มาครอบครองได้สำเร็จ พร้อมตั๋วขึ้นชั้นมาเล่นไทยพรีเมียรืลีก2009 หรือไทยลีก ครั้งที่ 13 ได้สำเร็จ ไทยพรีเมียรืลีก2009 อันเป็นครั้งแรกของทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด หรือทีม ร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ เดิม ได้ขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นครั้งแรกนับจากก่อตั้งสโมสรมา 20 ปีนั้น สุดท้ายประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังไทยก็ต้องจารึกอีกครั้งเป็นตำนานบทใหม่ว่าเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด นั้นเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกของไทยไล่จากลีกดิวิชั่น2,ดิวิชั่น1 จนถึงลีกสูงสุดของไทยอย่าง ไทยพรีเมียร์ลีก แบบใช้เวลา 3ปี ถ้วยต่อถ้วยได้สำเร็จเป็นทีมแรกที่ยังไม่เคยมีสโมสรไหนทำได้มาก่อนนับแต่ที่ลีกลูกหนังไทยปรับโฉมมาเป็นลีกดิวิชั่น2,1 และไทยพรีเมียร์ลีก จากเดิมที่เป็นถ้วยง,ค,ข และลีกดิวิชั่น1 ก่อนถึงไทยลีกเท่านั้น
สนามเหย้า
สโมสรฟุตบอลเมืองทอง ยูไนเต็ด ใช้สนามยามาฮ่า สเตเดี้ยมเป็นสนามเหย้า โดยสนามแห่งนี้อยู่หลังอาคารชาเลนเจอร์ เป็นพื้นที่โล่งใกล้กับทางขึ้นลงทางด่วนพิเศษ ไปได้ทุกที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ติดกับธันเดอร์โดมที่ใช้จัดคอนเสิร์ตในเรียลลิตี้ โชว์ชื่อดัง “เอเอฟ” หรืออะคาเดมี่ แฟนเทเชีย
สำหรับสนามยามาฮ่า สเตเดี้ยม นั้นปัจจุบันมีความจุโดยประมาณ 15,000 ที่นั่ง และเมื่อต่อเติมและปรับปรุงเสร็จจะมีความจุรวมเพิ่มเป็น 20,000 ที่นั่ง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกทั้ง 2 ฝั่งอัฒจรรย์, ห้อง VIP รอบสนาม, ห้องสื่อมวลชน, ร้านอาหาร, พลาซ่า, จูเนียร์ช็อป, พิพิธภัณฑ์สโมสร ฯลฯ นอกจากนี้สโมสร ยังเปิดโอกาสให้สโมสรอื่นๆ ทั้งในระดับไทยลีกและดิวิชั่นต่างๆ ได้เข้ามาศึกษาระบบการจัดการของสโมสรเพื่อพัฒนาลีกอาชีพของไทยให้ก้าวไปสู่ ความเป็นสากลต่อไป
ทีมจาก : สยามประเทศก็มีความเจริญได้คาบบ
Tony Report : รายงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น